เขียนเอาไว้เพื่อเป็นการเตือนตัวเอง: เมื่อญาติของผมได้ถูกมิจฉาชีพหลอกให้โอนเงินไปให้………

ความจริงผมอาจไม่จำเป็นที่จะต้องนำเรื่องแบบนี้มาเขียนให้อ่านกัน เพราะในช่วงปีที่ผ่านๆมาเราก็ได้เห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยเป็นประจำตามแหล่งข่าวต่างๆ ทำให้หลายคนที่ติดตามจากข่าวเหล่านี้พอจะรู้บ้างว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเหล่านี้มันมีที่มาอย่างไรและมันเกิดขึ้นได้อย่างไร

แต่ผมก็อยากจะเขียนเรื่องนี้ด้วยเหตุผลว่าจะได้เป็นอุทาหรณ์ให้กับคนอื่น อีกทั้งจะได้เป็นการเตือนตัวผมด้วยว่าตัวเองได้ประสบเจอเรื่องแบบนี้มาแล้ว และบอกกับตัวเองว่าอย่าได้ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกในอนาคต

และเรื่องนี้ก็คือ การที่ญาติของผมได้ถูกมิจฉาชีพหลอกให้โอนเงินไปให้

โดยผมจะขอเล่าแบบเป็นภาพรวม ไม่ลงรายละเอียดลึก เอาเฉพาะที่สำคัญๆ และจะไม่มีการเปิดเผยชื่อบุคคลใดๆในนี้ทั้งสิ้น

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผมจำได้ว่าเวลาช่วงนั้นน่าจะเป็นช่วงเที่ยง ผมก็นั่งทำงานของผมไปตามปกติ สักพักก็มีเสียงโทรศัพท์ดังมาจาก Smartphone ของผม ผมก็เลยรับซึ่งปลายสายก็เป็นญาติของผมคนนี้

ซึ่งญาติของผมคนนี้ได้ถามผมว่ามีเอกสารจากหน่วยงานที่ทำงานของเขาส่งมาให้หรือเปล่า (คือถ้าเป็นเอกสารสำคัญต่างๆของญาติคนนี้ ทุกอย่างจะส่งมาตามที่อยู่ที่ทำงานของผม) ผมนึกไปนึกมาและมองไปที่โต๊ะที่วางพวกจดหมายพัสดุ ก็ปรากฏว่าไม่มีเอกสารสำคัญที่ญาติของผมถามถึง ผมจึงตอบกลับไปว่าไม่มี

พอคุยไปคุยมาสักพัก ญาติของผมคนนี้ก็เหมือนกับพูดว่าถ้าเอกสารสำคัญชิ้นนี้หายไปก็จะยุ่งหน่อย เนื่องจากเขาบอกผมว่าเอกสารนี้เป็นเอกสารประกอบในการแจ้งใช้สิทธิ์ขอรับเงินสวัสดิการอะไรบางอย่าง คือญาติของผมคนนี้เป็นข้าราชการบำนาญซึ่งเกษียณมาหลายปีแล้ว

และในเมื่อไม่มีเอกสารสำคัญ ญาติของผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมก็วางสายโทรศัพท์และกลับไปทำงานตามปกติต่อ โดยที่หารู้ไม่ว่าในอีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนี้จะมีเรื่องที่จะเกิดขึ้นกับญาติของผมที่ผมจะไม่มีวันลืมเลย

ผ่านไปสัก 4 – 5 ชั่วโมง ผมเสร็จสิ้นจากการทำงานแล้วก็ขับรถไปหาญาติคนนี้เพื่อจะไปถามถึงเรื่องเอกสารสำคัญที่ว่านี้ (เพราะที่ผ่านๆมา ถ้ามีเอกสารอะไรก็ตามแต่ที่ส่งถึงญาติของผม ผมก็จะต้องเก็บไว้เป็นอย่างดีและนำไปให้เขาอีกที แต่ครั้งนี้กลับไม่มีเลย) และเมื่อผมได้เจอญาติก็ต้องพบกับความตกใจ

เมื่อญาติของผมได้บอกผมว่า เขาน่าจะถูกมิจฉาชีพหลอกให้โอนเงินไปให้ ซึ่งเงินจำนวนนี้เป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ผมไม่ขอระบุจำนวนเงินตรงนี้

ผมจึงตั้งสติ และรีบโทรไปหาญาติอีกคนเพื่อที่จะปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดี ญาติอีกคนก็เลยบอกผมว่าให้โทรไปที่เบอร์ 1441 ซึ่งเป็นเบอร์สายด่วนที่สามารถแจ้งความเกี่ยวกับการมิจฉาชีพหลอกให้โอนเงินไปให้และเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวกับอาชญากรรมทางออนไลน์ และผมก็รีบโทรไปที่ 1441 แล้วให้ญาติของผม (ที่โดนมิจฉาชีพหลอก) เล่ารายละเอียดของเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น

จากที่ผมได้ฟังจากญาติของผมที่แจ้งกับเจ้าหน้าที่ 1441 ก็ทราบว่าก่อนที่จะเกิดเหตุมีสายโทรศัพท์โทรเข้ามาที่โทรศัพท์มือถือของญาติของผม ซึ่งเป็นสายที่ไม่ได้รับตั้งแต่แรก แต่ญาติของผมโทรกลับไปหา คุยไปคุยมาทางปลายสายบอกมาว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานของญาติผม (ที่เคยทำงาน) โดยถามมาว่าได้มีเอกสารสำคัญส่งไปให้หรือเปล่า ญาติของผมก็ตอบกลับไปว่าไม่มี

ตรงนี้เอง คนที่เป็นเจ้าหน้าที่ (ที่แอบอ้าง) ได้บอกกับญาติผมว่าทางหน่วยงานได้มีการทยอยโอนเงินสวัสดิการพิเศษอะไรบางอย่าง (ตรงนี้ผมจำไม่ได้จริงๆว่าเป็นอะไรกันแน่) ให้กับข้าราชการบำนาญคนอื่นๆไปเกือบหมดแล้ว ก็เหลือแต่ญาติของผมที่ยังไม่ได้รับเงินส่วนนี้ ซึ่งเวลาที่จะรับเงินส่วนนี้ก็จะต้องมีเอกสารสำคัญ (ที่ผมบอกไปข้างต้นว่าไม่ได้รับเลย) มายืนยันอีกที อีกทั้งก็จะต้องไปทำที่หน่วยงานด้วย (พูดง่ายๆก็คือ เอาเอกสารนี้ไปให้กับที่ทำงานที่เคยอยู่ ซึ่งจริงๆมันไม่มีอยู่แล้ว)

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ (ที่แอบอ้าง) ก็บอกว่าไม่เป็นไร ถ้าไม่ได้รับเอกสาร ก็สามารถทำผ่านระบบโทรศัพท์ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่หน่วยงานให้เสียเวลา ตรงนี้ก็เลยทำให้ญาติของผมเชื่อและทำตามที่เจ้าหน้าที่บอกผ่านโทรศัพท์ ซึ่งรายละเอียดนั้นมันเยอะมาก แต่ผมบอกได้แค่ว่าเจ้าหน้าที่ให้ญาติของผมโอนเงินเข้าไปในบัญชีที่เจ้าหน้าที่เตรียมไว้ (ซึ่งเป็นบัญชีม้าของมิจฉาชีพ) แล้วบอกขั้นตอนวิธีการทำกับญาติของผมว่าต้องทำอย่างไร คือที่ผมจำได้จากที่ญาติของผมเล่า เขาบอกว่าให้กดปุ่มนี้ปุ่มโน้นราวกับว่ารู้ทุกอย่างบนหน้าจอโทรศัพท์ โดยใช้เวลาในการพูดคุยและการทำรายการประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆ (ซึ่งผมก็ค่อนข้างแปลกใจมากที่คุยกันนานขนาดนี้ คือทำได้แนบเนียนมาก)

แล้วก็มาถึงจุดที่ญาติของผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าน่าจะโดนมิจฉาชีพหลอก ก็คือตอนหลังจากที่เจ้าหน้าที่ (ที่แอบอ้าง ซึ่งก็คือมิจฉาชีพ) บอกว่าให้รอสักไม่เกิน 5 นาทีก็จะมีเงินสวัสดิการพร้อมกับเงินที่โอนออกไปก่อนหน้านี้ (ซึ่งก็เข้าบัญชีม้าของมิจฉาชีพ) โอนกลับคืนมาในบัญชีของญาติผม แต่พอผ่านไป 5 นาที ปรากฏว่าไม่มีเงินอะไรที่ว่ามานี้เข้าบัญชีเลยแม้แต่สตางค์เดียว

และทั้งหมดนี้ก็เป็นสิ่งที่ญาติของผมได้แจ้งให้กับเจ้าหน้าที่ 1441 เพื่อที่จะรีบดำเนินการขั้นต่อไป โดยที่ผมทราบก็คือทางเจ้าหน้าที่ 1441 ให้ญาติของผมแจ้งเลขบัญชีปลายทางของมิจฉาชีพที่โอนเงินไป แล้วเจ้าหน้าที่จะติดต่อประสานไปยังธนาคารของบัญชีปลายทางนี้เพื่อที่จะอายัดบัญชีชั่วคราวเป็นเวลา 72 ชั่วโมง

และหลังจากที่เสร็จจากการโทรแจ้ง 1441 ผมก็ต้องพาญาติของผมไปแจ้งความที่สถานีตำรวจแถวบ้านอีกครั้ง เพื่อที่จะให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเกี่ยวกับรายละเอียดจากการที่โดนมิจฉาชีพหลอกให้โอนเงิน สำหรับรายละเอียดในส่วนนี้ผมจะไม่เขียนถึง เพียงแต่บอกได้ว่าใช้เวลาประมาณ 1 – 2 ชั่วโมงกับการให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

เมื่อผ่านไปสัก 1 เดือนหลังเกิดเหตุ ผมก็ได้รับแจ้งจากญาติของผมและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบว่าศาลได้ออกหมายจับบุคคล 2 คนที่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้าของมิจฉาชีพที่ญาติของผมได้โอนเงินไป ซึ่งก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะตามหาบุคคล 2 คนนี้

ส่วนทางญาติของผม แม้ว่าจะสูญเสียเงินจำนวนมากไปให้กับมิจฉาชีพ แต่ญาติของผมก็สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เนื่องจากว่าตัวเขามีเงินบำนาญที่มีใช้จ่ายทุกเดือน (ซึ่งอันนี้เป็นข้อได้เปรียบอย่างยิ่งที่ดีกว่าการรับเงินบำเหน็จ แต่ผมจะไม่ขอลงรายละเอียดตรงนี้) และไม่ได้มีหนี้สินใดๆทั้งสิ้น อีกทั้งญาติของผมก็บอกกับผมอีกว่าเขาทำใจได้กับเรื่องนี้แล้ว ไม่หวังว่าจะได้เงินคืนทั้งหมด คือถ้าจะหวังก็คงอาจได้คืนแค่บางส่วนเท่านั้น

ตรงนี้เอง ผมก็อยากจะบอกว่าจากการที่ผมได้ฟังเรื่องทั้งหมดที่ญาติของผมได้เล่าให้ฟังนั้น ผมพอจะสรุปได้ว่ามิจฉาชีพกลุ่มนี้มีการทำงานที่เป็นระบบที่เหมือนมืออาชีพและมีการแบ่งกันทำหน้าที่หลายคนด้วย ถ้าจะให้เล่าแบบละเอียดก็น่าจะยาวมาก แต่ผมจะสรุปแบบย่อๆว่ามิจฉาชีพกลุ่มนี้มีข้อมูลต่างๆของญาติผมทั้งหมด ทั้งรู้ตำแหน่งทางการงาน, ทำงานอยู่หน่วยไหน, เกษียณอายุเมื่อไหร่ อะไรแบบนี้ ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ญาติของผมหลงเชื่อและโอนเงินให้กับมิจฉาชีพกลุ่มนี้

และสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากเรื่องนี้ที่เกิดขึ้นกับญาติของผมนั้น ผมขอแบ่งเป็น 2 เรื่องหลักๆที่สำคัญมาก…..

เรื่องแรกคือ เวลาที่มีเบอร์โทรศัพท์แปลกๆที่เราไม่คุ้นเคยโทรเข้ามาหาและอ้างว่ามาจากบริษัทนี้หรือหน่วยงานนี้หรือจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามแต่ (ซึ่งแต่ละเรื่องแต่ละกรณีไม่เหมือนกัน ไม่มีอะไรที่ตายตัว) ผมจะบอกกับทางปลายสายแบบว่าเดี๋ยวขอโทรกลับไป ตอนนี้ไม่สะดวกที่จะคุย (ไม่ว่าทางปลายสายนั้นจะใช้วิธีการอะไรก็ตามให้เพื่อที่จะคุยให้ได้) แล้วเช็คกับทางบริษัทหรือหน่วยงานนั้นๆว่ามีเบอร์นี้อยู่จริงหรือเปล่า เพราะผมก็เคยโดนเรื่องแบบนี้จากที่ไปรับสายเบอร์โทรศัพท์แปลกๆ แล้วผมโทรไปที่เบอร์โทรศัพท์ของบริษัทโดยตรงและบริษัทก็แจ้งมาว่าเป็นเบอร์มิจฉาชีพ อย่าโทรกลับไปเป็นอันขาด

ส่วนเรื่องที่สองคือ อย่าไปผูกบัญชีธนาคารที่มีเงินจำนวนมากกับแอพพลิเคชั่นธนาคารบน Smartphone เนื่องจากมีโอกาสง่ายและสูงที่จะโดนมิจฉาชีพหลอกให้โอนเงินแบบเดียวกับญาติของผมที่โดน (ไม่ว่าจะโอนเงินไปให้หรือโดนดูดเงินก็ตาม ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้มิจฉาชีพจะมีวิธีการใหม่ๆในการเอาเงินจากผู้เสียหายมาอย่างไร) คือถ้าจะผูกบัญชีธนาคารกับแอปพลิเคชั่นธนาคาร ก็ควรจะผูกกับบัญชีที่มีเงินจำนวนไม่มาก เอาแค่พอโอนเงินหรือซื้ออะไรที่ไม่ใช่ราคาที่สูงมากแบบนี้

ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่หลายคนควรจะต้องใส่ใจและอย่าได้ละเลยไป เพราะเราไม่มีทางรู้หรอกว่าเราจะมีโอกาสที่จะโดนมิจฉาชีพหลอกได้เมื่อไหร่ สิ่งที่ทำได้ก็คือหาทางป้องกันไว้ตั้งแต่เนิ่น

ท้ายสุด ผมก็อยากจะบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับญาติของผมครั้งนี้ ผมจะจดจำไว้เป็นบทเรียนเพื่อที่จะไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำอีกในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นตัวผมเองหรือญาติคนอื่นๆ และต้องพึงระลึกด้วยว่าในอนาคตมิจฉาชีพเหล่านี้ก็จะมีวิธีอื่นๆที่สามารถหลอกเอาเงินของเราไปได้เช่นกัน เพียงแค่ไม่รู้หรอกว่าจะเป็นวิธีไหน และตัวผมเองผมก็ไม่ได้มีความโกรธเคืองหรือแค้นอะไร แค่ปล่อยวางและจะไม่มีการซ้ำเติมญาติของผมอย่างแน่นอน

แต่ไม่ว่ามิจฉาชีพกลุ่มนี้จะเอาเงินก้อนนี้ของญาติของผมไปทำอะไร ผมพอจะบอกได้อย่างนึงว่า พวกคนเหล่านี้จะได้รับผลของการกระทำที่เกิดขึ้นที่มีราคาที่ต้องจ่ายอย่างแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าราคาที่จะต้องจ่ายนั้นเป็นอะไร (และถึงบางคนอาจจะบอกผมว่ามันก็เป็นการแค่การปลอบใจตัวเองนั้น ซึ่งก็ไม่ผิดที่จะพูดอย่างนั้นได้ ผมไม่ได้ว่าอะไร) เพียงแค่จะบอกว่าผลของการกระทำที่จะเกิดขึ้นนั้นไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่เท่านั้นเองและไม่รู้ว่าจะออกมาเป็นในรูปแบบไหน (ซึ่งผมเองก็ไม่รู้และคงไม่อยากเสียเวลาที่จะไปรู้)

เพราะการกระทำดังกล่าวนี้ถือเป็นการตั้งใจหลอกลวงและเป็นการขโมยเงินผู้อื่นด้วย (คำว่าไม่ได้ตั้งใจทำนั้นฟังไม่ขึ้นอยู่แล้ว) และถ้าหากพวกคนเหล่านั้นมีความเป็นอยู่ดีกินดีกับสิ่งที่ได้ทำลงไปนั้น มันก็อาจจะใช่ในช่วงเวลานี้

เพียงแต่ว่าชีวิตของพวกเขาหลังจากนี้ในอนาคต (ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่) ก็จะมีแต่ความหวาดระแวงและมีความทุกข์แบบที่ไม่แสดงออกมาให้เห็น เวลาจะทำอะไรหรือจะไปไหนก็ต้องปิดบังซ่อนตัวให้ดีและต้องคอยระวังตัวตลอดเวลา (พูดง่ายๆก็คือ อยู่ไม่เป็นสุข) อย่าคิดว่าจะหนีลอยนวลไปตลอดกาล เพราะทุกการกระทำจะมีผลย้อนกลับมาหาเสมอ แค่เพียงว่าเมื่อไหร่เท่านั้นเอง (ต่อให้คดีจะหมดอายุความ พวกคนเหล่านี้ก็จะต้องชดใช้ในสิ่งที่ได้กระทำลงไปในรูปแบบอื่นๆ)

เพราะบางกรณีกว่าจะเห็นผลก็ผ่านไปเกือบสิบปี ตามที่ผมเคยเห็นจากข่าว พอผ่านนานไปหลายปี คนพวกนี้ก็อาจชะล่าใจคิดว่าคงไม่มีการตามตัวกันแล้ว ที่ไหนได้ตำรวจสามารถจับตัวได้ตอนที่คดีใกล้จะหมดอายุความ

หวังว่าสิ่งที่ผมได้เขียนลงไปจะเป็นอุทาหรณ์ให้กับทุกๆคนที่ได้เข้ามาอ่าน แม้ว่าในอนาคตมิจฉาชีพเหล่านี้จะมีวิธีอื่นๆที่สามารถหลอกผู้คนได้บวกกับความสามารถทางเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่จุดประสงค์ที่เหมือนกันก็คือต้องการเอาเงิน (หรือทรัพย์สินที่มีมูลค่า) ไปจากเรานั่นเอง

______________________