ต้องบอกว่าหลังจากที่อ่านเรื่องนี้จบ ก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละคนที่จะคิดนะ เพราะเรื่องนี้ไม่มีใครผิดและไม่มีใครถูก ขึ้นอยู่กับมุมมองและความเห็นของแต่ละคน
และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วหลายปี แต่ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับใครก็ตามที่คิดอยากจะทำธุรกิจประเภทที่ตัวเองยังไม่เคยทำมาก่อนหรือไม่ถนัด หรือพูดง่ายๆว่าเป็นมือใหม่ที่ยังมีประสบการณ์ไม่มากนะ : )
เรื่องนี้มันเกิดจากลูกค้าของผมคนหนึ่งที่เปิดกิจการเป็นร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งผมชอบไปซื้อมาทานเป็นประจำ โดยร้านของเขาเป็นตึกเช่าอยู่หลังนึงที่อยู่ในทำเลที่มีคนสัญจรไปมาบ่อย
ลูกค้าของผมคนนี้ที่เป็นทั้งเจ้าของร้านและเป็นพ่อครัว ก็ทำอาหารอร่อยจนทำให้มีคนมาอุดหนุนกันเยอะ ไม่ว่าจะทานที่ร้านหรือซื้อกลับบ้าน (แต่ในสถานการณ์ COVID-19 นี้ ก็ต้องซื้อกลับบ้านอย่างเดียว) เลยทำให้กิจการไปได้ดี
และทีนี้ก็ไม่รู้ยังไง เจ้าของตึกที่ให้ลูกค้าของผมคนนี้เช่า พอถึงครบสัญญาเช่า ก็บอกเลิกสัญญาเช่าทันที โดยที่ไม่ยอมให้ต่ออายุการเช่า ทั้งที่ลูกค้าของผมไม่ได้ทำความเสียหายอะไรเลย แต่ลูกค้าของผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะถือว่าครบสัญญาการเช่าแล้ว
ด้วยเหตุนี้ ลูกค้าของผมต้องไปตระเวนหาเช่าตึกใหม่เพื่อที่จะให้กิจการร้านอาหารไปต่อได้ และสุดท้ายก็สามารถหาตึกใหม่ที่จะเช่าได้ซึ่งก็ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตึกเดิม (ที่ถูกบอกเลิกสัญญาเช่า) แต่ก็ไม่ลืมที่จะบอกลูกค้าประจำของเขารวมถึงตัวผมด้วยว่าร้านอาหารของเขาที่ใหม่ตั้งอยู่ที่ไหน จะได้ไปถูก
และแน่นอนว่าตึกเดิมที่ลูกค้าของผมเคยเช่านั้น ก็ต้องกลายเป็นตึกว่าง รอไว้สำหรับผู้เช่ารายต่อไป……..
แต่พอผ่านไปสักเดือนสองเดือน ตึกที่ลูกค้าของผมเคยเช่า ก็กลับมาเปิดอีกครั้ง (เผอิญว่าตอนนั้น ผมผ่านแถวนั้นพอดี ก็เลยเห็น) ซึ่งคราวนี้ก็เป็นร้านอาหารที่ขายคล้ายๆกับลูกค้าของผม (สมมุติว่าลูกค้าของผมขายอาหารตามสั่ง เจ้าของร้านอาหารที่เปิดใหม่ก็ขายอาหารตามสั่งเหมือนกัน) แต่ผมก็ไม่ได้ไปซื้อกับร้านนี้นะ เพราะผมเองก็มีร้านอาหารประจำต่างๆที่ผมชอบทานหลายร้านอยู่แล้ว (ซึ่งก็รวมถึงร้านของลูกค้าผมด้วย)
แต่ผมก็สังเกตได้ว่าร้านอาหารที่เปิดใหม่นี้ จำนวนลูกค้าไม่เยอะเท่ากับร้านของลูกค้าผม และสังเกตว่าบางวันแทบจะไม่มีลูกค้า นอกจากนี้ ผมก็สังเกตว่าลูกจ้างของร้านแสดงพฤติกรรมที่ดูเหมือนจะขี้เกียจและนั่งเฉยๆไม่ยอมทำอะไรเลย
มองดูจากร้านแล้ว พอจะเดาได้ว่าผู้เช่าคนใหม่นี้น่าจะเป็นมือใหม่ในการทำร้านอาหารและอาจยังไม่ค่อยรู้อะไรมาก อาจจะเป็นในเรื่องของรสชาติของอาหารแต่ละจานที่ไม่อร่อยที่ทำให้ลูกค้าส่วนมากไม่อยากกลับมาทานอีก
แต่ท้ายสุด ผมก็เพิ่งมารู้ความจริงจากลูกค้าของผมในวันที่ผมไปซื้ออาหารที่ร้านของเขาที่ตึกที่เขาไปเช่าใหม่ ซึ่งผมก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับมีร้านอาหารที่มาเปิดแทนที่ตึก (ที่เขาเคยเช่า) ซึ่งเขาก็ยิ้มตอบกลับมาราวกับว่ารู้อยู่แล้วกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“ร้านอาหารที่มาแทนที่น้องเห็นอ่ะ เจ้าของร้านก็คือเจ้าของตึกที่บอกเลิกสัญญาเช่ากับพี่” เขาบอกกับผมแบบนี้ เลยทำให้ผมอึ้งไปสักพักนึง
แต่พอนึกไปนึกมาว่าผมเองก็ไม่เคยรู้เลยว่าเจ้าของตึก (ที่ลูกค้าของผมเคยเช่านั้น) เป็นใคร ก็เพิ่งจะรู้ตอนที่ผมเห็นเขาอยู่ที่ร้านและก็ตามที่ลูกค้าของผมบอกเนี่ยแหละ ผมเลยพอจะเข้าใจแล้วว่าลูกค้าของผมจะสื่อถึงอะไร…….
ลูกค้าของผมเล่าให้ฟังต่อว่า บังเอิญว่ามีอยู่วันนึง เขาใช้ให้ลูกจ้างของเขาไปซื้อวัตถุดิบอาหารบางส่วนจากในตลาด ซึ่งตลาดที่ว่าอยู่นี้ก็อยู่ใกล้ๆกับตึกที่เขาเคยเช่า (ที่ตอนนี้เจ้าของตึกมาเปิดร้านอาหารเองอย่างที่บอก) และลูกจ้างของเขาก็เลยแอบแวะไปดูหน่อยซะว่าตอนนี้ตึกนี้กลายเป็นอะไรไปแล้ว แบบว่าแอบเดินผ่านดูๆแป๊บเดียวไม่ให้คนที่อยู่ในร้านเห็น เดี๋ยวจะเข้าใจว่าเป็นลูกค้า !+__=!
พอลูกจ้างคนนี้ (ของลูกค้าผม) แอบยืนดูสักพักก็มีคนเดินออกมาจากร้านพร้อมกับหน้าตาที่ดูบูดบึ้งและเห็นว่าคนๆนั้นก็คือเจ้าของตึกที่ให้ลูกค้าของผมเช่านั่นเอง เพราะจำใบหน้าของเขาได้ พอลูกจ้างกลับไปที่ร้าน (ที่ตั้งอยู่ที่ตึกเช่าใหม่) ก็เล่าเรื่องจากที่เห็นให้ลูกค้าของผมฟัง (ในฐานะนี้ก็คือนายจ้างนั่นเอง)
………………..
มาถึงตรงนี้ พอจะเดาได้มั๊ยว่าทำไมเจ้าของตึกถึงไม่ต่อสัญญาเช่ากับลูกค้าของผม ทั้งที่ตัวเขา (ลูกค้าของผม) ก็ทำร้านอาหารแล้วขายดี และมีเงินพอที่จะจ่ายค่าเช่าตึกได้ แต่เจ้าของตึกกลับที่จะมาเปิดร้านอาหารซะเองจนแทบไม่มีลูกค้าเข้าร้าน????
ซึ่งลูกค้าของผมก็บอกผมจากความน่าที่จะเป็นไปได้ว่า……….
“เจ้าของตึกคงคิดว่าเห็นพี่ทำร้านอาหารแล้วขายดี มีลูกค้ามาเยอะ พอเห็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ (เวลาที่มาเก็บค่าเช่าทุกครั้ง) ก็อยากจะทำบ้าง และคิดว่ารายได้อาจจะเยอะกว่าค่าเช่าอีก พอครบสัญญาเช่า เขาก็เลยไม่ให้พี่เช่าต่อ เปิดเองซะเลย แต่สุดท้ายแล้วก็ดูเหมือนจะไปไม่รอด เพราะตัวเจ้าของตึกเองน่าจะไม่เคยทำร้านอาหารมาก่อน”
ทั้งนี้ ลูกค้าของผมยังเล่าให้ฟังด้วยอีกว่า ตัวเขาเองก็ได้ยินมาจากลูกค้าคนอื่นๆที่เคยลองไปทานร้านอาหารนี้ บอกกันเป็นเสียงเดียวกันว่า อาหารไม่อร่อย, บริการแบบไม่ค่อยเต็มใจ, พูดจาไม่เพราะ แถมไม่รู้ว่าไปจ้างลูกจ้างมาจากที่ไหน???
โดยลูกจ้างที่เป็นคนทำอาหาร การทำก็เหมือนกับทำอาหารแบบพอทานได้คล้ายๆกับทานในบ้าน (ซึ่งก็ส่งผลทำให้อาหารบางอย่างไม่อร่อย) บางวันก็หยุดไม่บอก (คือถ้าคนนี้ไม่มา ร้านก็จะต้องหยุดไปโดยอัตโนมัติ เพราะไม่มีคนทำอาหาร และเจ้าของตึกก็ทำอาหารไม่เป็น)
ส่วนคนที่เป็นผู้ช่วย (ที่ทำอาหารไม่เป็น แค่ทำหน้าที่เสิร์ฟและล้างจานทำความสะอาดโต๊ะในร้าน) เวลาที่ลูกค้าเรียกถามอะไรก็บอกว่าไม่รู้ๆตลอด ลูกค้าบางคนที่ตำหนิต่อว่าทุกครั้งก็แสดงอาการไม่พอใจ และเอาแต่นั่งเล่นโทรศัพท์มือถือ เหมือนกับแค่รับค่าจ้างไปวันๆ !=__+!
แต่ท้ายสุด ลูกค้าของผมเล่าว่าได้ยินจากคนอื่นที่บอกมาอีกทีว่า เจ้าของตึกคนนี้ได้ปิดกิจการไปแล้ว ซึ่งก็ไม่ต้องบอกว่าตัวเจ้าของขาดทุนมากไปเท่าไหร่
ด้วยเหตุนี้ ก็ทำให้ตึกหลังนี้ว่างอีกครั้ง หวังว่าจะรอคอยให้ใครสักคนมาเช่าต่อ แต่ก็ไม่มีมาเลยตั้งแต่นั้นมา…….
ส่วนลูกค้าของผมคนนี้ก็ยังคงทำร้านอาหารที่ตึกใหม่ที่เขาเช่าไว้ และลูกค้าขาประจำทั้งหลายรวมถึงตัวผมก็มาใช้บริการกันอย่างปกติ ทั้งนี้ ตัวเขาก็บอกผมเองว่า ไม่คิดที่จะกลับไปเช่าตึกหลังนั้นอีกเลย
และเรื่องก็จบเพียงเท่านี้ : )
……………..
สำหรับผม ผมมองว่าเรื่องแบบนี้เป็นกรณีศึกษาที่ดีสำหรับใครก็ตามที่คิดอยากจะเปิดกิจการในสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัดหรือไม่มีประสบการณ์เพียงเพราะเห็นคนอื่นทำกันแล้วขายดี ก็เลยอยากจะทำตามบ้าง ซึ่งสุดท้ายก็ไปไม่รอด ขืนยังดื้อดึงทำต่อไปก็มีโอกาสเจ็บตัวหนักกว่านี้อีก !+__+!
อย่างกรณีของเจ้าของตึกเช่าคนนี้ที่มาเปิดร้านอาหารและต้องปิดกิจการ อาศัยจากข้อมูลที่ลูกค้าผมเล่า ก็เป็นเพราะว่าตัวเขาไม่มีความรู้และไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำร้านอาหารเลย ที่สำคัญ ตัวเองก็แค่มาทำหน้าที่เหมือนกับเป็นแค่ผู้จัดการของร้านหรือจะเรียกว่าเถ้าแก่ก็ได้ ทั้งที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการทำอาหารเลย และจ้างคนอื่นทำแทน (และแถมทำงานไม่ได้ดีเลย) เท่ากับว่าทำไปแล้วมีแต่ขาดทุนอย่างเดียว
ซึ่งผิดกับลูกค้าของผมคนนี้ เพราะก่อนที่เขาจะมาเปิดร้านอาหารเอง ตัวเขาก็ต้องเป็นลูกจ้างคนอื่นมาก่อนเพื่อที่จะฝึกทักษะความรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการทำอาหารจากร้านของนายจ้าง พอพัฒนาทักษะถึงในระดับที่สามารถทำได้เองแล้ว ถึงค่อยออกมาเปิดเป็นกิจการของตัวเอง แม้ว่าในช่วงแรกจะยังขายได้ไม่เยอะก็ตาม…..
แต่สำหรับบางคนที่อ่านเรื่องนี้จบไป ก็อาจจะบอกว่า ก็เป็นสิทธิ์ของเจ้าของตึกที่อยากจะลองทำร้านอาหารบ้าง เพราะเป็นตึกของเขาเอง ไม่ต้องเสียค่าเช่า ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดอะไร ถือว่าเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์โดยตรงเลย และแม้ว่าเขาจะต้องปิดกิจการไป ตัวเขาก็สามารถกลับมาเปิดใหม่ได้ทีหลัง ถ้าหากเขาเรียนรู้จากความผิดพลาดครั้งนี้พร้อมกับแก้ไขในส่วนที่เป็นปัญหา ซึ่งก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละคนที่จะคิดนะ เพราะขึ้นอยู่กับมุมมองและความเห็นของแต่ละคน (อย่างที่ผมได้บอกไว้ข้างต้นแล้ว)
…………
แต่ถ้าสมมุติว่าผมเป็นเจ้าของตึกนี้ ผมก็เลือกที่จะให้ลูกค้าของผมเช่าตึกหลังนี้ต่อไปดีกว่า เพราะอย่างน้อยก็มีรายได้ที่แน่นอนจากการให้เช่าทุกๆเดือน (ก็จะมีเพียงภาระส่วนนึงที่จะต้องมีค่าใช้จ่ายในบำรุงรักษาซ่อมแซมตัวตึกเท่านั้นเอง) และไม่ต้องมาเหนื่อยกับการบริหารร้านอาหาร ถ้าหากผมไม่มีทักษะและประสบการณ์เพียงพอ !+__=!
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็สามารถสรุปเป็นประโยคสั้นๆได้ว่า “อย่าไปทำในสิ่งที่ไม่ถนัดเพราะเพียงแค่อยากจะทำตามคนอื่นเท่านั้นเอง” : )
____________________________