ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคำว่า Disruption (หรือจะแปลว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว) จะเป็นคำที่เราแทบจะได้ยินเป็นประจำในไม่กี่ปีที่ผ่านมาจนกลายเป็นเรื่องที่เราคุ้นเคยไปแล้ว
ซึ่งหลายๆคนที่อยู่ในวัยเดียวกับผมหรืออายุมากกว่าก็ได้เจอหลายสิ่งหลายอย่างที่ได้ถูก Disrupted และถูกทดแทนด้วยสิ่งของสิ่งใหม่ๆแทน โดยที่ไม่รู้ตัว (ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน, การติดต่อสื่อสาร หรือแม้แต่การหาความบันเทิง) เพราะเราค่อยๆซึมซับสิ่งที่เราเห็นเหล่านี้ไปทีละเล็กทีละน้อยจนกลายเป็นเรื่องปกติ
ยิ่งสถานการณ์ Covid-19 ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ก็ยิ่งเร่งการ Disrupt ให้เร็วขึ้นไปอีกในหลายๆเรื่อง
แน่นอนว่าเมื่อมีการ Disrupt เกิดขึ้น สิ่งของต่างๆที่เคยเป็นที่นิยมใช้และมีบทบาทสำคัญมากในอดีต ก็ต้องถูกเลิกใช้ไป (ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่าๆนี่เอง) ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะใช้แล้ว
แต่ว่ามันจะเป็นไปได้เสมอเหรอ ที่สิ่งของต่างๆที่ได้ถูก Disrupted จะไม่มีประโยชน์และไม่มีค่าแล้ว???
สำหรับผม ผมต้องบอกว่ามันไม่จำเป็นเสมอไปหรอก เพราะของบางสิ่งบางอย่างที่ได้ถูก Disrupt นั้น อาจจะเป็นประโยชน์และมีค่าสำหรับใครบางคน
และผมเองก็เป็นหนึ่งในคนบางส่วนที่ยังใช้สิ่งของบางอย่างที่ได้ถูก Disrupted ไปแล้ว จนถึงทุกวันนี้เลย ด้วยเหตุผลดังที่ได้บอกไว้: สิ่งของชิ้นนั้นยังมีประโยชน์และผมก็มองเห็นค่าในตัวมัน
โดยเฉพาะของชิ้นนั้นที่ถูกใช้เป็นงานอดิเรกส่วนตัวนั่นเอง : )
ซึ่งตรงนี้เองก็อยากให้สังเกตเกี่ยวกับการ Disrupt ว่า…………..
การ Disrupt จะบีบบังคับให้คนต้องมาฝึกใช้สิ่งของใหม่ๆแทนที่สิ่งของเดิมที่ได้ถูก Disrupted ไป ซึ่งจะเห็นได้ชัดในเรื่องของการทำงาน, การติดต่อผู้คน, การเดินทางท่องเที่ยว หรือเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องกับผู้คนเยอะ เหตุผลส่วนหนึ่งก็เรื่องของความสะดวกและความรวดเร็วในการดำเนินการและลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
ตรงนี้ผมก็เห็นด้วย และตัวผมเองก็ต้องมีปรับตัวเองให้ทันตามเรื่องเหล่านี้ในชีวิตของการทำงาน
แต่ในเรื่องของงานอดิเรกหรืออะไรก็ตามที่เป็นเรื่องส่วนตัว (อะไรก็ได้ที่ไม่เกี่ยวกับการงาน) การ Disrupt ก็อาจทำได้ยากสำหรับคนบางคน ถ้าหากคนๆนั้นยังคุ้นชินกับการใช้สิ่งของเดิมที่มีอยู่แล้ว (เพราะความเคยชินที่ใช้มาเป็นเวลานาน) ต่อให้สิ่งนั้นที่มา Disrupt จะมีอะไรดีมากมายก็ตามแต่ ถ้าหากคนๆนั้นไม่อยากที่จะใช้ มันก็แค่นั้นเอง………..
ซึ่งตัวอย่างของชิ้นนึงที่ผมยังใช้อยู่ ก็คือแผ่นซีดีเพลงนี่เอง…….
แน่นอนว่าเมื่อมีแผ่นซีดี ก็ต้องมีเครื่องเล่นซีดีด้วย ไม่อย่างงั้นก็จะฟังไม่ได้ : )
จริงๆก็ต้องบอกว่าแผ่นซีดีเพลงอาจเรียกว่ายังไม่ถูก Disrupted 100% เพราะก็ยังมีบางส่วนในโลกที่ยังนิยมฟังเพลงจากแผ่นซีดี ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือประเทศญี่ปุ่น (ที่ผมชอบไปซื้อซีดีที่ร้านขายซีดีมือสองเป็นประจำ)
และผมเองก็ต้องยอมรับว่าเวลาส่วนใหญ่ที่ผมฟังเพลง ผมจะฟังจากแผ่นซีดีมากกว่าการฟังจากออนไลน์ (อันนี้ก็รวมถึงดึงเพลงจากแผ่นซีดีลงคอมพิวเตอร์ด้วยนะ) ถ้าให้เทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ก็น่าจะ 70% (ฟังจากแผ่นซีดี) ต่อ 30% (ฟังจากออนไลน์) และการฟังเพลงจากออนไลน์ ผมใช้วิธีฟังแบบฟรีมากกว่านะ ทำให้ผมไม่เคยเสียค่าบริการเลย
เพราะสำหรับผม ต่อให้ฟังเพลงเพลงเดียวกัน ไม่ว่าจาก Apps เพลงออนไลน์จากโทรศัพท์มือถือ หรือจากตลับเทป, แผ่นซีดีหรือแผ่นเสียงก็ตาม ความสุขจากการที่ได้ฟังก็แทบไม่ได้ต่างกันเลย
และด้วยความชอบของผมที่ชอบฟังเพลงจากแผ่นซีดี ก็มีอยู่ครั้งนึงที่มีผู้ใหญ่คนนึงที่ผมสนิทมาบอกผมว่าจะยกแผ่นซีดีเพลงที่เขาเคยซื้อสะสมมาให้ผมบางส่วน
เหตุผลของเขาก็คือ แผ่นซีดีเพลงแต่ละแผ่นก็ไม่ใช่ว่าหาซื้อมาง่ายๆ (อย่าไปนึกถึงแผ่นซีดีแบบลดราคาถูกๆ 19 บาท 29 บาทนะ) และถ้าจะให้คนอื่นไปก็คงจะไม่มีประโยชน์ สู้ให้กับคนที่ชอบฟังเพลงแบบซีดีและรู้ค่าของมันอย่างผมจะดีกว่า
……………
นอกจากนี้ ผมก็มีอีกหนึ่งเหตุผลว่าทำไมของบางสิ่งบางอย่างที่ได้ถูก Disrupted อาจยังมีประโยชน์และมีค่าสำหรับใครบางคน ซึ่งเหตุผลนั้นก็คือ……….
สิ่งของชิ้นนั้นอาจเป็นตัวแทนอะไรสักอย่างที่ทำให้เรานึกถึงตั้งแต่ในวันแรกที่เราใช้ และเป็นสิ่งที่เราทำให้หวนนึกถึงความหลังหรือใครบางคนที่มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งของสิ่งนั้นที่เราใช้อยู่ (อาจเป็นของที่ได้รับมาจากคนอื่นที่มีความสำคัญกับเราอีกที ดังตัวอย่างจากแผ่นซีดีเพลงที่ผมได้รับมา) แต่คนอื่นอาจไม่มีทางรู้และเข้าใจได้ดีเท่ากับตัวเรา
ท้ายสุด ผมเห็นด้วยกับการที่เราต้องปรับตัวและปรับชีวิตให้ทันกับการ Disruption ทั้งการทำงาน การติดต่อผู้คน การเข้าสังคม หรือแม้แต่การท่องเที่ยว ที่ทำให้การเที่ยวของเราเป็นไปอย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
แต่สำหรับเรื่องของงานอดิเรกหรือความชอบส่วนตัว หากเรายังยืนกรานที่อยากจะใช้สิ่งของชิ้นเดิม มันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรเลย ในเมื่อถ้าเรายังมีความสุขที่จะใช้สิ่งนั้นของเราอยู่ อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มซื้อสิ่งของนั้นมาทดแทน
เพราะ Disruption สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในเรื่องของการทำงานได้ แต่ไม่อาจสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของคนบางส่วนในเรื่องความสุขและความชอบส่วนตัวได้นะ อย่างน้อยสิ่งที่เราทำก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนและรบกวนใครสักหน่อย
แต่อย่างน้อย การเปิดใจและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆในช่วงเวลาของการ Disruption ก็จะทำให้เราปรับตัวและใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ง่ายยิ่งขึ้น : )
_________________________