ยุคนี้ ช่วงนี้ มันก็คงจะเป็นเรื่องไม่แปลกที่จะเห็นคนลาออกจากงานมาทำกิจการส่วนตัวเป็นจำนวนมาก ในนี้ก็มีทั้งเจ้าของกิจการหรือเถ้าแก่ที่อยู่ได้และอยู่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าทำธุรกิจอะไรและความสามารถและประสบการณ์ในการทำธุรกิจ
ในสถานการณ์ที่เป็นแบบนี้ทำให้ผมนึกถึงคนรู้จักคนนึงที่เคยลาออกจากงานมาเปิดกิจการส่วนตัวเมื่อหลายปีก่อน
เรื่องมันเป็นแบบนี้…
คนที่ผมรู้จักคนนี้เคยทำงานบริษัทแห่งหนึ่งและลาออกโดยให้เหตุผลว่าถึงจุดอิ่มตัวที่จะทำงานแบบไปเช้ากลับเย็น และอยากมีเวลาว่างอยู่กับตัวเองและพ่อแม่(ที่อยู่กันแค่สองคน)มากยิ่งขึ้น
ที่สำคัญเขาคนนี้มีเงินเก็บเพียงพอไว้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายจำเป็นในอนาคต และยังมีเงินส่วนอื่นที่เขาเก็บไปลงทุนซื้อกองทุนต่างๆอีกด้วย (คิดได้รอบคอบมาก!! 0_0)
หลังจากที่ลาออก เขาก็ตัดสินใจว่าจะเปิดกิจการขายของแบบซื้อมาขายไป โดยเปิดเป็นร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ตั้งอยู่ใจกลางตัวเมือง
ช่วงแรกที่เปิด เขาก็บอกว่าทำใจได้ในระดับหนึ่ง เพราะวันแรกๆ ไม่มีลูกค้าเข้าร้านเลย จนวันแล้ววันเล่าก็เริ่มมีลูกค้ามาซื้อของที่ร้านของเขา ซึ่งตอนนั้นเขาก็คิดว่าคงจะมีความหวังที่จะสามารถดึงลูกค้าเข้ามาได้เยอะขึ้น
แต่มันก็เป็นแบบนั้นได้ไม่นาน….
เพราะสินค้าบางอย่างที่เขาขายก็เริ่มไม่เป็นที่นิยม, ขายไม่ออก และแถมยังโดนลูกค้าต่อว่าเพราะว่าสินค้าที่เขาขายนั้นแพงกว่าร้านอื่น ทำให้เขาต้องบอกกับลูกค้าว่าเขาซื้อมาขายในราคาที่สูงกว่าร้านอื่น ก็ต้องขายราคาแบบนี้ ลดไม่ได้อีกแล้ว(เช่นซื้อมา 1000 ก็ขายไป 1400) แต่ก็ทำได้ไม่นานจนเขาต้องยอมขายขาดทุน (ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีที่ผมเคยกล่าวไว้)
ท้ายสุดเขาก็ได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างที่มีผลกระทบต่อกิจการของเขา
นั่นคือการเลิกกิจการนั่นเอง!!
ส่วนหนึ่งเขาบอกเหตุผลกับผมเกี่ยวกับการเลิกกิจการของเขาก็เพราะว่ากิจการแบบที่เขาทำ มีคนไปทำก่อนเขาแล้วหลายราย และที่สำคัญหลายรายพวกนี้เป็นรายใหญ่ มีทุนเยอะ สามารถหาแหล่งซื้อสินค้ามาขายได้ในราคาถูก และขายถูกกว่าที่เขาขายด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องไม่แปลกเพราะลูกค้ายังไงก็อยากจะได้สินค้าที่มีราคาถูกกว่าที่อื่น
โดยทั่วไปแล้ว คนที่เลิกกิจการของตัวเองจะรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวและอับอายขายหน้าเป็นอย่างมาก และทำให้คนอื่นมองว่าการเลิกกิจการเป็นสิ่งที่ดูไม่ดีและอาจโดนนินทาลับหลังได้
แต่เขาคนนี้กลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย
เพราะเขากับบอกผมว่า “ผมโชคดีมากที่เลิกกิจการแบบไม่เสียดายอะไรมากทั้งที่ขาดทุนเยอะ……”
ผมก็สงสัยว่าความโชคดีที่เขาบอกนี่คืออะไร โชคดีที่รู้ว่ากิจการจะไปไม่รอดก็เลยชิงปิดซะเลย หรือว่าโชคดีที่ภูมิใจว่าในชีวิตนี้เขาเคยได้เป็นเจ้าของกิจการ (หรือจะได้เรียนรู้ว่าการเลิกกิจการนั้นเป็นแบบนี้นี่เอง 0__0??)
แต่คำตอบนั้นเป็นคำตอบที่ผมนึกไม่ถึงเลย
“ผมโชคดีมากที่เลิกกิจการแบบไม่เสียดายอะไรมากทั้งที่ขาดทุนเยอะ เพราะอย่างน้อยกิจการที่ผมได้ทำไปไม่มีลูกจ้างหรือคนงานแม้แต่คนเดียว!! ทุกอย่างผมทำเองหมด”
พูดง่ายๆก็คือ กิจการของเขามีเขาเพียงคนเดียวที่ดูแลทั้งหมด!!
อันนี้ก็จริงอยู่ เพราะผมเคยไปที่ร้านของเขาครั้งหนึ่ง ก็ไม่เคยเห็นมีลูกจ้างหรือคนงานอยู่ในร้านอยู่เลย ยกเว้นเขาคนเดียว
เขาให้เหตุผลว่า “เรื่องอะไรที่จะต้องไปจ่ายค่าจ้างเพิ่มให้เสียเปล่าให้กับลูกจ้างที่ไม่รู้เรื่อง(และไม่ค่อยมีฝีมือทักษะ) เพราะว่าเจ้าของกิจการเป็นคนสร้างกิจการขึ้นมาเอง ดังนั้นเจ้าของกิจการก็ต้องสามารถเรียนรู้ที่จะทำงานได้โดยไม่ต้องจ้างคนอื่นถ้าไม่จำเป็น!!”
ตรงนี้มันก็ทำให้ผมคิดได้ เพราะยังไงซะ ลูกจ้างในกิจการที่เป็นร้านค้าบางส่วนที่มาทำงาน(ที่ไม่ค่อยมีฝีมือทักษะ)ก็จะไม่สนใจหรอกว่าวันนี้เถ้าแก่หรือเจ้าของกิจการจะขายได้หรือไม่ได้ รู้อย่างเดียวคือตัวเองจะต้องได้เงินค่าจ้างอย่างแน่นอน!! (แถมบางคนก็อาจจะแสดงนิสัยบางอย่างที่อาจจะทำให้เจ้าของไม่พอใจก็เป็นได้)
ที่สำคัญเขาบอกกับผมว่า “จ้างลูกจ้าง(ที่ไม่ค่อยมีฝีมือทักษะ)ไปแล้ว มันก็ไม่ต่างจากอะไรเลยกับการที่เขาดูแลกิจการคนเดียว เหมือนกับจ้างให้มานั่งเฉยๆและเสียเงินค่าจ้างไปฟรีๆ นี่แหละเป็นสิ่งที่ผมเสียดายถ้าหากผมเลือกทำแบบนี้ ทั้งที่ไม่รู้ว่ากิจการจะไปรอดหรือไม่รอด”
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับจ้างคนมาทำงาน เขาก็ยังต้องมีค่าใช้จ่ายอื่นๆในกิจการของเขานอกจากเรื่องสินค้าก็จะเป็น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าห้อง และค่าติดตั้งกล้องวงจรปิด (ถึงแม้ว่าจะไม่คุ้มก็ตาม)
…………
หลังจากที่เขาหันหลังจากการทำกิจการส่วนตัว ผมก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย จนเมื่อไม่นานผมก็เจอเขาคนนี้อีกครั้ง
ปัจจุบันเขาคนนี้ก็อยู่ในช่วงที่เข้าสู่วัยผู้สูงอายุแล้ว รายได้ของเขาตอนนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากการเล่นหุ้นเก็งกำไรและเงินปันผลที่เขาได้ลงทุนไว้(รวมถึงกองทุนต่างๆที่เขาเคยซื้อมาก่อนหน้านี้ด้วย อย่างไรก็ตาม การลงทุนก็มีความเสี่ยง ดังนั้นต้องเรียนรู้และศึกษาให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุนนะ : ) ) และรายได้อีกส่วนก็มาจากเก็บค่าเช่าห้องในคอนโดใจกลางเมือง
พูดง่ายๆก็คือรายได้ปัจจุบันของเขาก็คือให้เงินทำงานหรือที่เรียกกันว่า Passive Income แต่อย่างไรก็ตามเขาก็บอกผมว่า “แม้ว่าจะเป็น Passive Income เราก็ต้องหมั่นเอาใจใส่กับเงินที่เราลงทุนไป ศึกษาติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศและโลก ไม่ใช่เอาเงินไปลงทุนแล้ว ปล่อยปละละเลย รู้อีกทีก็สายไปเสียแล้ว”
ท้ายสุด เขาก็สอนสิ่งหนึ่งให้ผมเอาไปใช้ในชีวิต ไม่ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะดีหรือไม่ก็ตาม!!
“ทำอย่างไรก็ได้ให้รายได้ที่เราหาได้มาอย่างน้อยมีความเพียงพอที่จะใช้เป็นรายจ่ายพื้นฐานที่จำเป็นได้ในแต่ละวัน แต่ละเดือน และทำให้เราทุกข์น้อยที่สุด!!” : )
____________________________________________________________